top of page

แม่ ก็คือ แม่

  • พระลบพระมงกุฎ
  • Aug 13, 2017
  • 1 min read

แม่ก็คือแม่.. แม่พระของอัสสัมชัญ

แม่ก็คือแม่.. แม่พระของอัสสัมชัญ

เคยสังเกตกันไหม ยามที่เราเดินเข้ามาในโรงเรียน ครั้งทำความเคารพทั้งอาจารย์เวลาปัจจุบัน และอาจารย์ผู้ล่วงลับไปแล้ว คือคุณพ่อ ฟ.ฮีแลร์ หลังจากที่เราเดินเข้าไปลึกกว่านั้นถึงลานแดง เราจะเห็นรูปปั้นสีขาวสะอาด อันแสดงถึงความไร้มลทินของหญิงท่านหนึ่ง ทั้งท่านยังเป็นองค์อุปถัมภ์ผู้ปกปักษ์โรงเรียนเราทางจิตวิญญาณอีกด้วย

หญิงท่านนั้นคือ พระแม่ หรือ – เรียกโดยความเชื่อของศาสนาคริสต์ – พระนางมารีย์ มารดาของพระเยซู อันเป็นองค์ศาสดาของศาสนาคริสต์ทั่วทุกนิกาย

เอาล่ะ เราเองและทุกคนที่ได้ย่ำเยือนโรงเรียนอัสสัมชัญมาหลายปี ก็คงมีหลายคนสงสัยไม่มากก็น้อยว่า หญิงนางนั้น หรือแม่พระเป็นใคร เหตุใดจึงมีความสำคัญกับโรงเรียน? ที่สำคัญไปมากกว่านั้น สตรีท่านนี้มีความสำคัญต่อพระศาสนจักรอย่างไร?

ก่อนอื่นคงต้องบอกก่อนว่า รูปปั้นของพระแม่ที่ประดิษฐาน ณ ลานแดงนั้น คือรูปปั้นของพระนางในเวลาที่องค์พระผู้เป็นเจ้ารับพระนางขึ้นสู่สรวงสวรรค์ทั้งกายและวิญญาณ หรือ Assumption of Mary เรียกเป็นภาษาไทยว่า แม่พระอัสสัมชัญ – ซึ่งเป็นที่มาของชื่อโรงเรียนในภายหลัง – ซึ่งมีกำหนดการฉลองในวันที่ 15 สิงหาคม ของทุกปี

ข้อความเชื่อนี้ได้รับการประกาศโดย Pope Pius XII หรือพระสันตปาปาปีอุสที่ 12 ในวันที่ 1 พฤษภาคม 1950 โดยมีข้อความดำรัสไว้ดังนี้

“โดยองค์พระบิดาของพระเยซูคริสตเจ้า ของอัครสาวกเปรโตแลเปาโล แลบิดาของเราทั้งหลาย พวกเราประกาศ แลนิยามสิ่งนี้เป็นข้อความเชื่ออันถูกเปิดเผยอย่างศักดิ์สิทธิ์ว่า มาตาขององค์พระผู้เป็นเจ้าอันนฤมล มารีย์ผู้คงพรหมจรรย์อยู่ยั่งยืน ได้เสร็จสิ้นกิจชีวิตโลกีย์ของนางแล้ว ได้รับการยกขึ้นทั้งกายและวิญญาณสู่อาณาจักรสวรรค์อันรุ่งโรจน์”

แปลจาก Apostolic Constitution Munificentissimus Deus item 44 at the Vatican web site Archived 4 September 2013 at the Wayback Machine.

ประวัติของพระนางมิได้รับการบันทึกอย่างเด่นชัดในพระวรสารทั้งสี่ แต่พระศาสนจักรดึงปกรณัมการเกิดของพระนางมาจาก The Gospel of Thomas และคัมภีร์ของศาสนาอิสลาม ได้ความว่า บิดามารดาของพระนางมารีย์ประสบปัญหา ไม่มีบุตรเสียที นักบุญยออากิม – บิดาของพระแม่ – จึงออกป่าเพื่อภาวนา จนกระทั่งมีนิมิตมาสู่นักบุญอันนา – มารดาของพระแม่ – ว่านางจะประสูติ และตั้งครรภ์บุตรี นามว่า มารีย์ (มีใครคุ้นเคยรูปแบบปกรณัมแบบนี้บ้างหรือไหม)

ใน The Gospel of Thomas ยังอ้างอีกว่า พระนางมารีย์นี้เอง ที่เป็นผู้สืบเชื้อสายแห่งกษัตริย์ดาวิด – ผู้ที่จะช่วยให้ชาวยิวรอดพ้น – มิใช่นักบุญยอแซฟอย่างที่กล่าวไว้ในพระวรสารนักบุญมัทธิว (มธ 1: 1-16) (และอาจมองเป็นเหตุผลที่น่าฟังมากกว่า หากจะอ้างว่าบุตรพระนางมารีย์เป็นหน่อเชื้อกษัตริย์ผู้มาไถ่กู้ชาวอิสราเอล มากกว่าจะอ้างจากการเป็นบุตรบุญธรรมจากผู้เป็นพ่อเลี้ยงหรือนักบุญยอแซฟ – ภัสดาของพระนางมารีย์)

เมื่อพระนางประสูติแล้ว ต่อมานางก็ได้เข้าถวายตัวต่อพระวิหารในวัยเยาว์ ต่อมาผู้ดูแลพระวิหารทราบข่าวสำคัญว่าพระนางจะต้องสมรสกับพ่อหม้ายคนหนึ่ง โดยทูตสวรรค์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นผู้บอกลางในความฝันให้กับผู้ดูแลคนนั้น และยังเป็นทูตองค์นี้แหละที่ส่งสัญญาณบอกครั้งรวมตัวพ่อหม้ายจากทั้งเมืองมาประชุมรวมกัน และคัดเลือกสามีของพระนางมารีย์ ในขณะที่หนังสือบางเล่มจะกล่าวว่า พระนางเป็นภรรยาของทหารโรมัน

แต่ภารกิจของพระนางเพิ่งเริ่มขึ้น ณ เวลานั้น พระนางหมั้นหมายกับโยเซฟ พ่อหม้ายสูงวัย จนกระทั่งวันหนึ่งนางตั้งครรภ์โดยพระจิตเจ้า ซึ่งพระบิดาส่งลงมา (ในความเชื่อของอิสลาม มีการลงรายละเอียดว่า ทูตสวรรค์ได้เป่าพระวิญญาณผ่านไปที่แขนเสื้อของพระนางมารีย์) เพื่อจะให้เป็นผู้ไถ่กู้ของโลก ครั้งเมื่อโยแซฟได้ทราบเรื่องการตั้งครรภ์ของพระนางเข้า เขาก็ตั้งใจจะถอนหมั้นเงียบ ๆ เพื่อไม่ให้กระทบต่อเกียรติของพระนางมารีย์ เนื่องจากท่านคาดเหตุไว้ว่าพระนางมีชู้หรือมีสามีใหม่ แต่ทูตสวรรค์ของพระเจ้าก็ได้มาบอกถึงสาเหตุที่แท้จริงที่พระนางตั้งครรภ์ นักบุญโยเซฟจึงเป็นผู้ปกครองอีกคนหนึ่งของพระเยซูโดยชอบธรรม

และนี่คืออีกหนึ่งเหตุผลที่พระนางถูกเรียกว่าเป็น “พรหมจารีย์” เพราะพระนางไม่ได้ผ่านการหลับนอนเพื่อให้กำเนิดบุตรนั่นเอง

พระนางได้รับการยกย่องว่าเป็นมารดาตัวอย่าง หรือมารดาในอุดมคติ เพราะพระนางเป็นแม่ที่ยอมรับทุกอย่าง ตั้งแต่เกิด พระนางรับรู้มาโดยตลอด – แม้อาจจะไม่มั่นใจด้วยความเป็นมนุษย์ – ว่าบุตรของท่าน วันหนึ่งต้องตายเพราะมวลมนุษย์และบาปของพวกเขา แต่พระนางก็ยอมรับความเจ็บช้ำน้ำใจนั้นไว้โดยไม่บ่ายเบี่ยง ทั้งยังเป็นผู้ปกครองของเหล่าอัครสาวกอีกด้วย ดังจะเห็นได้จากภาพของพระนางที่อยู่ร่วมกับอัครสาวกในวันพระจิตเจ้าเสด็จลงมา

เรื่องราวของพระแม่ไม่ได้ถ่ายทอดออกมา เพื่อจะบอกให้เรา หรือผู้หญิงทุกคนบนโลกต้องให้กำเนิดลูกโดยไม่มีเพศสัมพันธ์ ไม่ได้บอกให้เราทุกคนคงพรหมจรรย์ไว้ ไม่ได้บอกให้เรายอมก้มหน้าก้มตาตามชะตากรรม (ที่ไม่มีอยู่จริง) แต่คือการที่ให้เรายอมรับผลของการกระทำที่จะตามมาอย่างเต็มใจ ดังเช่นที่พระนางกล้ำกลืนความทุกข์ระทมของพระนางที่ได้เห็นพระบุตรถูกตรึงบนไม้กางเขนต่อหน้าต่อตา อันเป็นผลจากการที่พระนางยอมรับข้อเสนอ (อันไร้ขอแลกเปลี่ยน) ของพระบิดาครั้งทูตสวรรค์ถือสารมาแจ้งข่าวแก่พระนาง

Image by มาสเตอร์โสภณ สกุลเรือง

ดังนั้นพระนางจึงเป็นหญิงไร้มลทิน พระนางจึงเป็นผู้เหยียบอสรพิษที่คาบผลไม้แห่งความผิดชอบชั่วดีไว้ เพราะพระนางเป็นสัญลักษณ์แห่งผู้เอาชนะสัญชาตญาณดิบไว้ได้ และเพราะเหตุนี้พระนางจึงได้รับการสวมมงกุฎในสรวงสวรรค์

ก่อนจะจากไป ขอยกข้อความภายในพระคัมภีร์เล่มสุดท้ายของศาสนาคริสต์ นิกายโรมันคาทอลิก อันว่าด้วยพระนางมารีย์อย่างชัดเจน (ถึงแม้ในเชิงสัญลักษณ์ พระนางจะถูกแทนและแสดงในจุดอื่นอีกก็ตาม)

“1เครื่องหมายยิ่งใหญ่ปรากฏในสวรรค์ คือสตรีผู้หนึ่งมีดวงอาทิตย์เป็นอาภรณ์ มีดวงจันทร์อยู่ใต้เท้า มีมงกุฎดาวสิบสองดวงประดับศีรษะ 2นางมีครรภ์แก่ กำลังร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวดจะคลอดบุตร 3เครื่องหมายอีกประการหนึ่งปรากฏในสวรรค์ คือมังกรใหญ่สีแดง มีเจ็ดหัวและสิบเขา แต่ละหัวสวมมงกุฎ 4หางของมันตวัดดวงดาวหนึ่งในสามบนท้องฟ้าให้ตกลงมาบนแผ่นดิน มังกรยืนอยู่ตรงหน้าสตรีที่กำลังจะคลอดบุตรเพื่อจะกินบุตรของนางทันทีที่คลอด 5นางคลอดบุตรเป็นชาย ซึ่งจะต้องปกครองชาติทั้งหลายด้วยคทาเหล็ก แต่บุตรของนางถูกคว้าตัวขึ้นไปเฝ้าพระเจ้ายังพระบัลลังก์ของพระองค์ 6ส่วนสตรีนั้นหลบหนีไปในถิ่นทุรกันดาร ที่นั่นนางมีที่พำนักซึ่งพระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ให้ เพื่อนางจะได้รับการเลี้ยงดูเป็นเวลาหนึ่งพันสองร้อยหกสิบวัน” (วว 12: 1-6)

..เพราะแม่ก็คือแม่..

อ้างอิง

Comments


FOLLOW US
  • Black Facebook Icon
  • Black YouTube Icon
  • Black Instagram Icon
SEARCH BY TAGS
FEATURED POSTS
ARCHIVE
bottom of page